จับตาเทรนด์ ราคาทองคำปีเสือ สารพัดปัจจัยลบ-คริปโทแรงแย่งเม็ดเงิน

จับเทรนด์ราคาทองคำปีเสือ เจอสารพัดปัจจัยลบกดดันราคาปรับตัวลง “เฟดลดคิวอี-ขึ้นดอกเบี้ย” แถมกระแสคนรุ่นใหม่แห่ลงทุนคริปโท แย่งเม็ดเงินลงทุนทอง

ขาใหญ่ “วายแอลจี” ประเมินราคาทองพีกสุดไตรมาสแรกระดับ 1,800-1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แนะนักลงทุนเทรดระยะสั้นลดความเสี่ยง นายกสมาคมทองยอมรับแนวโน้มราคาทองปี 2565 ไม่หวือหวา อยู่ในทิศทางขาลง

ไตรมาส 1 ราคาทองคำพีกสุด
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้ค้าทองรายใหญ่ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำในปี 2565 มีโอกาสที่จะเห็นราคาขยับขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงไตรมาสแรกของปี โดยแนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 1,800-1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดมาตรการคิวอีในเดือน มี.ค. 2565 แต่หากระหว่างทางมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามากระทบ ทองคำก็อาจจะไปทำราคาสูงสุดในไตรมาสที่ 2 ได้ โดยเมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นตัวกดดันให้ราคาทองย่อตัวลง

“นักวิเคราะห์มองกันว่า ช่วงไตรมาสแรกมีโอกาสเห็นราคาทองขึ้นไปสูงสุด แต่คงไม่สูงไปกว่าระดับสูงสุดของปี 2564 ที่ 1,970 เหรียญ อย่างไรก็ดี ต้องจับตาดูว่าระหว่างทางที่มีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โอไมครอนจะมีผลกระทบแค่ไหน ทั้งด้านเศรษฐกิจ นโยบายทางการเมือง ผลกระทบต่อธุรกิจและการท่องเที่ยว” นางพวรรณ์กล่าว

3 ปัจจัยหนุนราคาทองปีเสือ
สำหรับปัจจัยที่จะหนุนราคาทองคำในปี 2565 มีทั้งเรื่อง “เงินเฟ้อ” เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐมีการอัดฉีดเงินซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายมั่นใจได้เข้าระบบไปมากถึง 6-7 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันสถานการณ์หนี้สาธารณะของสหรัฐที่อยู่ระดับสูง โดยปัจจุบันเพิ่มขึ้นไปถึง 28 ล้านล้านดอลลาร์ หรืออยู่ที่ 125% ของ GDP

ซึ่งเป็นสัญญาณว่า สหรัฐขาดดุล มีหนี้สูง มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ภาวะหนี้ที่สูงขนาดนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบแรง ๆ คงเป็นไปได้ยาก ซึ่งสหรัฐอาจต้องใช้นโยบายอื่น ๆ เข้ามาช่วยด้วย

นางพวรรณ์กล่าวอีกว่า อีกปัจจัยที่ในปี 2564 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางหลายประเทศมีการซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีการซื้อทองอย่างโดดเด่นถึง 94 ตัน ตามด้วยสิงคโปร์ อินเดีย และบราซิล ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำไม่ให้ลงลึก

จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ยกดดันราคา
ซีอีโอบริษัทวายแอลจีฯกล่าวว่า สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาทองคำปรับลดลง นางพวรรณ์กล่าวว่า ประเด็นหลักคือเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยทันทีที่ประกาศลดดอกเบี้ย แน่นอนว่าราคาทองคำจะตกลงแน่นอน

แต่หลังจากนั้นก็ขึ้นกับว่าเงินเฟ้อจะเป็นอย่างไร ซึ่งการถือครองทองคำเป็นการป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ ดังนั้นหากเงินเฟ้อยังอยู่ คนก็จะยังเข้ามาซื้อทองคำ ทำให้ราคาทองคำไม่เป็นขาลง

นอกจากนี้ ต้องจับตากองทุนทองคำโลก (ETF) อย่างกองทุน SPDR หากมีการซื้อทองคำเข้าไปมากจะหนุนราคาทองคำจะปรับขึ้น เหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 ปริมาณการซื้อทองคำของกองทุนลดลงต่อเนื่อง

โดยลดลงกว่า 190 ตัน จึงกดดันราคาทองคำไปได้ไม่ไกล กระทั่งช่วงปลายเดือน ต.ค.-พ.ย. การขายชะลอลง และเริ่มมีการซื้อทองเข้ากองทุน ซึ่งหากยังซื้อต่อเนื่องสม่ำเสมอก็อาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้

หากมองปัจจัยทางเทคนิค ปี 2565 ราคาทองคำมีแนวรับใหญ่อยู่ที่ 1,650 เหรียญ เท่ากับแนวรับของปี 2564 แต่ถ้าหลุดแนวรับตรงนี้ไป แนวรับต่อไปจะอยู่ที่ 1,520-1,550 เหรียญต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านน่าจะอยู่ที่ 1,800-1,900 เหรียญ

ทั้งนี้ ด้วยเพดานหนี้ของสหรัฐที่สูงถึง 28 ล้านล้านดอลลาร์ นักเศรษฐศาสตร์จึงมองกันว่า หากสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไป สหรัฐก็จะต้องแบกภาระชำระหนี้สูงขึ้น

ดังนั้น สหรัฐอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อปรับสภาพเงินเฟ้อที่สูงเกินไป แต่คงปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้มาก จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.25% อาจจะขึ้นไปได้ไม่เกิน 1% หรือเต็มที่ไม่เกิน 2%

“การปรับขึ้นดอกเบี้ยต้องดูความถี่ด้วย ถ้าปรับถี่มาก ราคาทองก็ลงเร็ว แต่ถ้าปรับห่าง เช่น มี.ค.ครั้งหนึ่ง มิ.ย.อีกครั้ง แล้วก็ ธ.ค.อีกครั้ง ถ้าราคาลงไปไม่หลุดแนวรับใหญ่ แล้วมีปัจจัยอื่นมาซัพพอร์ต ก็จะช้อนราคาทองคำให้ไม่ลงลึกได้” นางพวรรณ์กล่าว

แนะลงทุนระยะสั้นลดเสี่ยง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทองคำในปี 2565 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทวายแอลจีฯกล่าวว่า คงจะต้องลงทุนสั้นกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยภาวะที่สถานการณ์ข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนอยู่ การลงทุนระยาวจะเป็นความเสี่ยง

โดยเฉพาะหากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ ราคาทองก็อาจจะเป็นขาลงได้เหมือนกัน เหมือนกับช่วงปี 2555 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายกลุ่มก็มองกันว่า ภาวะปัจจุบันต่างกับเมื่อปี 2555 ที่เป็นการบริหารการเงินที่ล้มเหลว แต่ปัจจุบันมีผลกระทบเรื่องโควิด มีการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบมากกว่าในอดีตมาก

“ถ้าเงินที่สะพัดอยู่ในระบบ ถ้าหยุด ก็ไม่น่าจะดูดออกมาได้จนหมด เพราะว่าเขาหยุดใส่เงินเพิ่ม ไม่ได้บอกว่าจะเลิกซัพพอร์ต เงินเก่าเคยอัดฉีดเข้ามาก็ยังมีวนอยู่

ดังนั้นก็อาจจะไม่ได้ทำให้สภาพคล่องลดลงไปในทีเดียว ซึ่งคงจะต้องดูต่อไปว่า หลังจากนี้นโยบายของสหรัฐจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะซัพพอร์ตหรือกดดันราคาทองคำ ต้องติดตาม” นางพวรรณ์กล่าว

ทองคำเสน่ห์ลด-คริปโทแย่งซีน
นางพวรรณ์กล่าวว่า กระแสดิจิทัลที่เข้ามา ประกอบกับช่วงสถานการณ์โควิดทำให้พฤติกรรมการลงทุนทองคำมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยมีวัฏจักร (ไซเคิล) สั้นลง เป็นการเก็งกำไรระยะสั้น

เช่น ซื้อเช้า ขายเย็น หรือซื้อขายกันในเวลา 2 ชั่วโมงที่ราคาทองคำแกว่ง เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยมีการนำเข้า-ส่งออกทองคำเร็วขึ้นไปด้วย

สำหรับกระแสลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีส่งผลกระทบต่อการลงทุนทองคำหรือไม่นั้น นางพวรรณ์กล่าวว่า คนที่นิยมลงทุนในคริปโทเป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนคนที่ลงทุนในทองคำจะมีหลากหลายรุ่นมากกว่า โดยยอมรับว่าที่ผ่านมามีนักวิเคราะห์หลายรายระบุว่า

ถ้าไม่มีกระแสคริปโทเข้ามา ราคาทองคำในปัจจุบันน่าจะเกิน 2,000 เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว อย่างไรก็ดี ตลาดทองคำใหญ่กว่าตลาดคริปโทประมาณ 11 เท่า ดังนั้น คริปโทจึงเข้ามาแทนที่ทองคำได้แค่บางส่วนเท่านั้น

“อนาคตต้องดูว่าทางธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับคริปโทเพิ่มขึ้นแค่ไหน ก็อาจเข้ามากดดันราคาทองคำได้ อย่างไรก็ตาม มองว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่จะช่วยเสริมให้พอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงได้” นางพวรรณ์กล่าว

ผนึกเป๋าตังเปิดตัวแพลตฟอร์ม
นางพวรรณ์กล่าวด้วยว่า ในเดือน ม.ค.นี้ บริษัทจะเปิดตัวแพลตฟอร์มซื้อขายทองคำออนไลน์ใหม่ ที่สามารถซื้อขายทองคำได้หลายสกุลเงิน อาทิ ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD), หยวน (CHY), ยูโร (EUR) เป็นต้น ซึ่งจะตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศให้สะดวกมากขึ้น

“จะใช้ระบบเปิดพอร์ตแบบอัตโนมัติ และเป็นแพลตฟอร์มที่จับมือร่วมกับพันธมิตรอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย เพื่อทำ automatic payment คาดว่าจะออกมาให้นักลงทุนได้เห็นกันในเดือน ม.ค.นี้” นางพวรรณ์กล่าว

นอกจากนี้ยังมีอีกระบบที่จับมือกับทางธนาคารกรุงไทย เปิดให้ซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” คาดว่าระบบจะพัฒนาแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสแรกนี้

โกลเบล็กมองปัจจัยลบรุมเร้า
นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำปี 2565 น่าจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก โดยช่วงไตรมาสแรกก็มีโอกาสได้เห็น แต่คงไม่มากนัก

ด้วยมีปัจจัยลบค่อนข้างมาก ทั้งการปรับลดวงเงินคิวอี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งความกังวลที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย

“เราคาดว่าทองคำน่าจะทำจุดสูงสุดได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่ไม่ได้มีการทำธุรกรรมใด ๆ จึงน่าจะดีกว่าไตรมาสแรกที่ยังมีปัจจัยลบหลายด้าน ส่วนช่วงไตรมาสที่ 3-4 จะเป็นช่วงที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบ ทั้งนี้ เราให้กรอบราคาทองคำทั้งปีไว้ที่ 1,650-1,850 เหรียญต่อออนซ์”

โดยปัจจัยบวกต่อราคาทอง จะเป็นเรื่องการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” และความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน ในกรณีพิพาทของไต้หวัน ซึ่งหากมีความรุนแรงมากขึ้นอาจหนุนให้ราคาทองคำพุ่งทะลุ 1,850 เหรียญได้ แต่ก็มองว่าอาจจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น

สมาคมชี้เฟดขึ้น ดบ.ทองขาลง
ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกคาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับลดลงมา ขณะเดียวกันช่วงไตรมาสแรกคาดว่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าลง

ดังนั้นช่วงไตรมาสที่ 1 ให้กรอบราคาทองคำไว้ที่ 1,775-1,825 เหรียญต่อออนซ์ ซึ่งหากไตรมาสแรกมีการทำจุดสูงสุดก็คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 1,800 เหรียญต้น ๆ

“หากไม่มีปัจจัยที่เข้ามาเซอร์ไพรส์ตลาด ราคาทองคำน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบและคงไม่หวือหวาเท่าไหร่นัก เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดัน ขณะที่ระยะยาวมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง อาจจะกดดันให้ราคาทองคำปรับลงในปีหน้า” นายจิตติกล่าว

จับเทรนด์ราคาทองคำปีเสือ เจอสารพัดปัจจัยลบกดดันราคาปรับตัวลง “เฟดลดคิวอี-ขึ้นดอกเบี้ย” แถมกระแสคนรุ่นใหม่แห่ลงทุนคริปโท แย่งเม็ดเงินลงทุนทอง ขาใหญ่ “วายแอลจี” ประเมินราคาทองพีกสุดไตรมาสแรกระดับ 1,800-1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แนะนักลงทุนเทรดระยะสั้นลดความเสี่ยง นายกสมาคมทองยอมรับแนวโน้มราคาทองปี 2565 ไม่หวือหวา อยู่ในทิศทางขาลง ไตรมาส 1 ราคาทองคำพีกสุด นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้ค้าทองรายใหญ่ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำในปี 2565 มีโอกาสที่จะเห็นราคาขยับขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงไตรมาสแรกของปี โดยแนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 1,800-1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดมาตรการคิวอีในเดือน มี.ค. 2565 แต่หากระหว่างทางมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามากระทบ ทองคำก็อาจจะไปทำราคาสูงสุดในไตรมาสที่ 2 ได้ โดยเมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นตัวกดดันให้ราคาทองย่อตัวลง “นักวิเคราะห์มองกันว่า ช่วงไตรมาสแรกมีโอกาสเห็นราคาทองขึ้นไปสูงสุด แต่คงไม่สูงไปกว่าระดับสูงสุดของปี 2564 ที่…